เรื่องของผี ที่คนไม่ค่อยรู้ โดย ปราณเวท
พูดถึงเรื่องผีสางนางไม้ ไสยศาสตร์ หลายคนคงคิดว่างมงาย ไร้สาระ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนเชื่อกันเป็นจริงเป็นจังมาก อย่างความเชื่อบางแห่ง บางชุมชนกลัวผีแม่ม่ายมาก เลยหาทางออกโดยการทำรูปปั้น หรืออะไรก็ตามที่เป็นลักษณะเหมือนอวัยวะเพศชาย แขวนไว้หน้าบ้าน หวังว่าถ้าผีแม่ม่ายคิดจะมาเอาชีวิตผู้ชายในบ้าน เมื่อมาเจอเครื่องสังเวยก็จะพอใจ เอาเครื่องสังเวยไปแทนผู้ชายในบ้าน บางชุมชน ใช้กล้วยเป็นหวีๆ แขวนไว้หน้าบ้าน , บางชุมชนให้ผู้ชายที่เป็นโสด ทาเล็บสีแดงแบบผู้หญิง เพื่อให้ผีแม่ม่ายเข้าใจผิดคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นผู้หญิง เอาล่ะครับ ลองคิดกันซักนิดนะครับ... ถ้าผีแม่ม่าย ที่พวกชาวบ้านกลัวกันนักกลัวกันหนา ถูกพวกชาวบ้านหลอกกันได้ง่ายๆ อย่างนี้ ผมว่า ผีแม่ม่ายไม่น่ากลัวหรอกครับ แลดูเธอจะเป็นผีที่ซื่อเอามากๆ จนถูกหลอกได้ง่ายๆ ด้วยซ้ำ ( น่าสงสารนะครับ โดนคนหลอกเสียได้ )
พอพูดมาถึงตรงนี้ ก็จะมีคนแย้งโดยใช้คำพูดอภิมหาอมตะยอดนิยมนิรันดร์กาลว่า “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่” สำหรับคนที่เชื่อจริงๆ และ “ไม่ขอวิจารณ์, ไม่ได้เชื่ออะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่นะครับ” หรือ “ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบหลู่” สำหรับคนที่ชอบแทงกั๊ก คือ ในใจน่ะเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ แล้วล่ะที่ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ หรือหาเหตุผลอะไรมาลบล้างได้ ก็เลยต้อง ขอใช้ประโยคกลางๆ แทงกั๊กไว้ก่อนจะได้ปลอดภัย ไม่ถูกคนที่เชื่อ หรือไม่เชื่ออย่างสุดโต่งแย้งได้ เข้าทำนองกลัวๆ กล้าๆ หรือไม่ก็ยังแหยงๆ เผื่อจะมีจริง แต่สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อครับ เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ ถึงแม้จะเป็นการพิสูจน์ด้วยตัวผมคนเดียวก็ตาม
คำว่า “ผี” นั้นหมายถึง คนที่ตายไปแล้ว หรือสิ่งที่คนเชื่อว่าลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่ปรากฏกายเหมือนมีตัวตน อาจให้คุณหรือโทษ และอาจดีหรือร้ายก็ได้ ผีดี ก็คือ ผีใจดีนั่นแหละครับ เพราะถ้าไม่ใจดี ต่อให้เป็นผีบ้านผีเรือน เราก็ไม่รู้สึกว่าเขาเป็น ผีบ้านผีเรือนจึงเป็นคำพูดที่พูดถึง ผีที่ดีที่คอยช่วยปกป้องคุ้มครองคนในบ้านจากผีหรือดวงวิญญาณอื่นไม่ให้เข้ามากล้ำกรายในเขตบ้านที่เราอาศัยอยู่ได้ ถ้าผีบ้านผีเรือนไม่ดีมาคอยหลอกหลอนผู้ที่อยู่ในบ้าน ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก 4 กรณีดังนี้
1) เป็นธรรมชาติ หรือ นิสัยปกติของเขาที่เป็นคนดุ ผีขี้หวง หรือผีเจ้าระเบียบ ไม่ชอบให้ใครเข่ามายุ่งในเขตพื้นที่ของเขา
2) ลักษณะการเสียชีวิตของเขา เช่น ถูกฆ่าตาย,ตายโหง,ตายท้องกลม,ตายโดยที่ยังมีแรงอาฆาตอยู่ จึงทำให้เขาสามารถมาปรากฏกายให้เห็นได้ง่ายกว่าผีตนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะมาปรากฏกายให้เห็นเพียงเพื่อหลอกหลอน กันอย่างเดียวพวกเขาอาจมีเหตุผลอื่นก็ได้
3) อยากติดต่อกับ ผู้ที่อยู่อาศัยในบ้าน เช่น อยากให้คนในบ้านทำบุญ หรือ ทำอะไรให้ หรือ มาเตือนว่าสิ่งที่คนในบ้านกำลังทำอยู่ เขาไม่ชอบหรือ ไม่เหมาะไม่ควรก็ได้
4) ไม่ได้ตั้งใจ เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะปรากฏกายให้เราเห็น แต่เราดันไปเห็นเอง เพราะบังเอิญคลื่นความถี่ มันดันมาตรงกันพอดี
ที่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่พูดให้ตลกนะครับ จากที่ผมเคยอ่านหนังสือมาหลายเล่ม มีความเชื่อหนึ่งที่น่าสนใจและดูมีเหตุผลมากคือ เขาว่าคนกับผี,วิญญาณ ที่สามารถติดต่อกันได้ เห็นกันได้ก็เพราะ คลื่นสมอง,คลื่นความคิด,กระแสจิต (แล้วแต่ใครจะเรียก) ของคนและดวงวิญญาณ จูนมาตรงกันเหมือน โทรทัศน์,วิทยุ ที่จูนมาตรงกับคลื่นความถี่ เดียวกันจึงทำให้สามารถได้ยินเสียง หรือเห็นภาพได้ จากเหตุผลข้อนี้ ท่านผู้อ่านคงพอเข้าใจแล้วนะครับว่า ทำไมคนบางคน เห็นผี หรือรับรู้ได้ง่ายกว่า คนทั่วๆ ไป ที่ไม่ค่อยจะได้พบเจอกับประสบการณ์อะไรลักษณะนี้ ทั้งนี้เพราะเครื่องรับความถี่ของแต่ละคน แตกต่างกันครับขึ้นอยู่กับชะตาของแต่ละคน
ซึ่งถ้ามองในมุมของทางโหราศาสตร์ คนที่มีประสาทสัมผัสพิเศษ หรือประสาทสัมผัสที่ 6 (sixth sense) นั้นมักจะมีดาว ๒,๕,๙,๐ สัมพันธ์กัน กุม-เล็ง และสัมพันธ์ถึงลัคนา ในดวงชะตา คนที่มีดวงแบบนี้ก็จะสามารถรับรู้ สัมผัสถึงสิ่งเร้นลับ ต่างๆได้ง่าย และมักจะสนใจเรื่องลึกลับ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ มากกว่าปกติ บางคนก็เป็นร่างทรง อยู่ตามสำนักต่างๆไปเลยก็มี นี่ยังไม่หมดนะครับ เหตุผลที่คนสามารถเห็นผีได้ ก็อาจจะมาจากคนที่เห็นนั้น เป็นผู้ที่บำเพ็ญภาวนา ทำบุญเป็นประจำ หรือมีบุญมาก ผีจึงมาขอส่วนบุญ หรือเป็นช่วงดวงตกก็ได้ และอีกอย่างที่ได้ยินได้ฟังมาค่อนข้างบ่อยคือ ในช่วง 3 – 15 วันหลังจากเสียชีวิต ก็เป็นช่วงโอกาสที่สามารถเห็นวิญญาณผู้ตายได้ง่ายกว่าช่วงอื่น
ซึ่งผมก็มีประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของครอบครัวผม แม่ของผมเสียไปแล้ว ผมไม่เคยเห็นวิญญาณแม่ปรากฏกาย เลยแม้แต่ครั้งเดียวถึงจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม จะมีที่สร้างความประหลาดใจ ก็เห็นจะมีอยู่2เรื่อง
เรื่องแรก คือหลังจากเสร็จสิ้นงานศพ ผมกับภรรยาเอารูปที่ถ่ายในงานไปล้าง ปรากฏว่าในรูปถ่ายนั้น มีหมอกควันลักษณะคล้ายหน้าคนอยู่ในภาพถ่ายหลายรูป ผมเอารูปเหล่านั้นมาพิจารณาหาเหตุผล จนได้ข้อสรุปว่า หมอกควันคล้ายใบหน้าคนนั้นมาจาก ควันบุหรี่ของเจ้าตากล้องน้องชายผมเอง ที่สูบบุหรี่ไปด้วยถ่ายรูปไปด้วย ทำเอาคนที่เห็นรูปดังกล่าว วิพากษ์ วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ บ้างก็ขวัญผวาไปตามๆกัน(ก่อนที่ผมจะเฉลยชี้แจงเหตุผลให้ฟัง)
เรื่องที่ 2 ก็คือเหตุการณ์ตอนที่ผมกับภรรยาไปรับรูป นั่นแหละครับ หลังจากที่ผมกับภรรยารับรูปแล้วกลับมาที่รถ พอเข้าไปนั่งในรถเท่านั้นแหละ ผมกับภรรยาก็ได้กลิ่นยาหม่องที่แม่ชอบใช้เป็นประจำ อบอวลไปทั้งรถ ทำให้ภรรยาของผมถึงกลับร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวเลยทีเดียว จากนั้นกลิ่นยาหม่องก็ค่อยๆ จางหายไป นั่นเป็นสิ่งแรกและสิ่งเดียวที่ผมสามารถสัมผัสได้ ทางประสาทสัมผัสปกติ ผมคิดว่าแม่เองก็คงอยากมาดูรูปเหมือนกัน
พอพูดอย่างนี้หลายคนคงคิดต่อไปว่า ผีคงเหมือนกับในหนัง ในละคร ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมาย ผิดถนัดครับ ผีก็คือคนที่ไม่มีร่างกายเฉยๆ มีอารมณ์กลัว โกรธ บางทีก็โกหกด้วย อิทธิฤทธิ์ต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมี ลักษณะการเสียชีวิต เวลาที่เสียชีวิต สถานที่เสียชีวิต ล้วนแต่มีผลต่ออิทธิฤทธิ์ของดวงวิญญาณ นั้นๆ และเท่าที่ทราบผมคิดว่า ไม่มีผีตนใดที่จะบันดาลโชคลาภ บอกเลขท้าย 2 ตัว หรือทำร้ายใครได้เลย มิฉะนั้นคดีฆาตกรรม ต่างๆ ก็คงไม่ต้องอาศัยตำรวจแล้วครับ ผีอาฆาตทั้งหลายคงติดตามไปเอาชีวิต ลงโทษ เจ้าฆาตกรทั้งหลายด้วยตัวเอง ก่อนที่ตำรวจจะสืบทราบและจับกุมได้เสียอีก เรื่องความสามารถของผีนั้นจากประสบการณ์ของผม ผีมีความสามารถที่ผมพิสูจน์ได้อย่างค่อนข้างมั่นใจ คือ
1. สามารถอ่านใจคนได้ ถ้าคนๆนั้น สัมผัสถึงเขา เปิดใจรับ เพราะฉะนั้นเวลาที่เล่นผีถ้วยแก้ว ก็อย่าแปลกใจที่ ผีจะตอบในสิ่งที่อยู่ใจ หรือ ที่เรากำลังคิดอยู่ได้
2. ผีเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเท่าความคิด คือถ้ามีใครคิดถึงเขา เรียกเขา เขาก็จะไปหาในทันที ที่ถูกเรียก
3. สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้บ้าง มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของแต่ละตน
4. ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับคน ถ้าไม่จำเป็น หรือถูกเรียกมา
5. ไม่สามารถเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลงวัตถุต่างๆได้โดยลำพัง ผีต้องอาศัยคนเป็นสื่อกลางจึงจะทำได้
6. สามารถติดต่อได้ทั้งกลางวัน กลางคืน ถ้าไม่เชื่อสำหรับคนที่เคยเล่นผีถ้วยแก้ว ก็ลองเล่นตอนกลางวันดูก็ได้ครับ แต่อาจจะเดินช้าไปหน่อย
7. เรื่องอาหาร,เครื่องเซ่นผี ไม่จำเป็นต้องเตรียมให้มากเหมือนกับคนกินหรอกครับ ผีเขากินเงาของอาหาร จัดให้หลายๆ อย่าง แต่อย่างละน้อยๆ ก็พอ หรือจะจัดให้เหมือนคนกินก็ได้ครับ เขายิ่งชอบ แต่ที่จำเป็นและสำคัญคือ ต้องบอกกล่าวเรียกเขามารับอาหาร เครื่องเซ่นด้วยนะครับ บางคนจัดอาหาร เครื่องเซ่นให้ จุดธูปยกมือไหว้แล้วปักธูปเลย ไม่ได้บอกกล่าวตั้งจิตถวายหรือยกอาหารเครื่องเซ่นให้เขาเลย ทำอย่างนั้นเขาจะไม่ได้รับนะครับ ได้แค่มอง ตราบใดที่เราไม่อนุญาตหรือมีเจตนาถวาย ยกให้เขา เขาก็จะไม่มีสิทธิ์ได้รับ ส่วนธูปจะจุดหรือไม่ จำนวนกี่ดอก ไม่จำเป็นเท่าไหร่ครับ จิตถึง มีเจตนาให้ เอ่ยชื่อ-นามสกุล แค่นี้เขาก็ได้รับแล้วครับ อีกอย่างเรื่องการจัดเตรียมอาหาร โดยเฉพาะผลไม้ ก็ช่วยเตรียมให้เขาแบบสามารถกินได้เลย ไม่ใช่ถวายแตงโม มะพร้าวเป็นลูกๆ เพราะถ้าเราทำอย่างนั้น เขาก็จะได้รับแตงโม มะพร้าว ตามสภาพที่เราถวาย เขาจะกินลำบากครับ ไหนๆก็มีเจตนาดีแล้ว ก็ช่วยบริการหน่อย หั่นใส่จานหรือ มะพร้าวก็เปิดฝากะลาให้เขาด้วย แต่ถ้าจะถือเคล็ดอะไรที่ต้องถวายเป็นลูกๆ ก็ไม่เป็นไรครับ แค่เขาต้องใช้ความพยายามมากหน่อย กว่าจะได้กินก็เท่านั้นเอง
เอาล่ะครับ..ก็คงพอจะรู้จักผีมากขึ้นแล้วนะครับ อันที่จริงเรื่องผีๆนี้ผมยังสามารถแบ่งปันประสบการณ์ ได้อีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น เรื่องผีสิง เจ้าเข้าทรง ก็เอาไว้โอกาสหน้าล่ะกันครับ แต่อยากจะติงให้คิดไว้ซักนิดครับ เกี่ยวกับ เจ้าเข้าทรงบางสำนัก ที่อวดอ้างตัวว่าเป็นเทพ เวลาพูดก็ต้องพูดด้วยภาษาเทพ แต่พอมีใครพูดด้วยเป็นภาษาไทย กลับฟังรู้เรื่อง อีกอย่างนะครับ แต่ไหนแต่ไรมา เวลาเราไปบนบาน ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ผมยังไม่เคยเห็นใครบนบานเป็นภาษาเทพเลย ก็ยังสมหวังตามปรารถนากันตั้งมากมาย บางสำนักก็อ้างว่าเป็นถึง กษัตริย์เชื้อพระวงศ์แต่กลับไม่รู้จัก คำราชาศัพท์ พูดได้แต่สำนวนลิเก พวกเราก็ต้องไตร่ตรองให้มาก เมื่อเจอกับพวกจอมปลอมทั้งหลายแหล่เหล่านี้ ถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดแย้งอีกว่า “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่” ผมก็ขอย้ำคำเดิมครับ ผมเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เชื่ออย่างมีเหตุผล เชื่อในสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ยกตัวอย่างเช่น วิชาโหราศาสตร์ แรกๆผมก็คิดว่างมงาย ไร้สาระ ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน คนต่างหากที่กำหนดชีวิตของตัวเอง ก็ด้วยความคิดที่ว่าจะหักล้างความคิดใครเขา เราก็ต้องรู้ให้จริงเสียก่อน จากนั้นผมจึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง หลายปีผ่านไป หลังจากได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูอาจารย์ที่เชี่ยวชาญและเปี่ยมความรู้หลายท่าน ทำให้ผมต้องยอมรับเลยครับว่า ผมคิดผิด วิชาโหราศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ สามารถพิสูจน์ได้ เห็นไหมครับนี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ที่เราจะต้องเริ่มจากความไม่รู้ก่อนที่จะรู้ สำหรับเรื่องที่ผมติงไว้ให้คิด ท่านผู้อ่านทั้งหลายก็ต้องใช้สติ คิดพิจารณาไตร่ตรองเอาเองครับ เรื่องที่ผมเล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี้ มันอาจจะขัดแย้งกับความคิดของใครหลายคนและเป็นการยากที่จะเชื่อได้ ถึงแม้ผมจะรับรอง ยืนยันอย่างไรก็ตาม เอาเถอะครับ ผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีใครมาเชื่อผม มากน้อยแค่ไหน ผมหวังแต่เพียงว่า ท่านผู้อ่านจะได้รับรู้ เรื่องราวเกี่ยวกับผี ในอีกมุมมองหนึ่ง ตามทัศนะของผมเท่านั้น และอยากให้ทุกท่านใช้ สติพิจารณาไตร่ตรอง โดยยึดหลักธรรม กาลามสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนว่า อย่าได้เชื่อเพราะเหตุ 10 ประการดังนี้
1. อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา
2. อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบๆกันมา
3. อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ (ข่าวลือ)
4. อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา
5. อย่าได้เชื่อถือ โดยเดาเอาเอง
6. อย่าได้เชื่อถือ โดยคาดคะเน
7. อย่าได้เชื่อถือ โดยความตรึกตามอาการ
8. อย่าได้เชื่อถือ โดยชอบใจว่าต้องกับทิฐิของตน
9. อย่าได้เชื่อถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
10. อย่าได้เชื่อถือ โดยความนับถือว่าสมณะนี้คือ ครูของเรา
ข้อที่สอนให้พิจารณา ซึ่งควรทำก่อนที่จะเชื่อ 4 ประการ
1. ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศลหรือ กุศล
2. มีโทษหรือไม่มีโทษ
3. วิญญูชนติเตียนหรือ สรรเสริญ
4. ถ้าประพฤติปฏิบัติแล้วจะก่อให้เกิดสิ่งไม่เป็นประโยชน์ความทุกข์หรือ ก่อให้เกิดประโยชน์ความสุข
หลักธรรมข้อนี้ ผมยึดถือเป็นหลักในการพิจารณาไตร่ตรอง เรื่องราวต่างๆ เป็นประจำท่านผู้อ่านก็ลองนำหลักธรรมข้อนี้ ไปใช้พิจารณาความเชื่อดูนะครับ รับรองว่าท่านต้องได้รับประโยชน์อย่างมาก แน่นอน “ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะครับ”